มัทฉะ

แม้ว่าจะถูกค้นพบและพัฒนาในประเทศจีน แต่ปัจจุบันนั้นมัทฉะได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น

ในปัจจุบันวิธีการปลูกชาและนำมาแปรรูปเป็นผงสีเขียวที่มีลักษณะซับซ้อนเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกชาอื่น ๆ อย่างไรก็ตามนี่ก็หมายความว่ามัทฉะนั้นจึงมีราคาแพงกว่าชาธรรมดาในท้องตลาดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากวิธีการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่น สถานการณ์เหล่านี้หมายความว่ามัทฉะ จริงๆแล้วอาจเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเนื่องจากมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่หลายคนก็ไม่สามารถจ่ายได้

ในประเทศจีนได้มองเห็นปัญหา จึงได้มีมัทฉะของจีน แต่คุณภาพจะแตกต่างจากมัทฉะของแท้จากญี่ปุ่น มัทฉะของแท้จากญี่ปุ่นทำจากเทนฉะซึ่งมีราคาแพงประมาณหกเท่าของมัทฉะจีน แน่นอนว่าคุณภาพก็สูงกว่าเช่นเดียวกัน ไม่แปลกใจเลยว่าความแตกต่างระหว่างสองเครื่องดื่มที่เรียกว่ามัทฉะนั้นแตกต่างกันมาก คุณสามารถสังเกตมัทฉะจีนได้จากสีที่เข้มกว่ามากซึ่งเป็นสีน้ำตาลแล้วบางส่วน อนึ่งสามารถตรวจสอบสีได้โดยเพียงใช้ผงมัทฉะจำนวนเล็กน้อยและถูระหว่างนิ้วของคุณ มัทฉะของแท้จะต้องเป็นสีเขียวสดเท่านั้น  หากมีการใช้มัทฉะในการปรับแต่งจากใบชาชนิดอื่น ๆ มักจะใช้พันธุ์เซนฉะ, คุคิฉะ และ เกนไมฉะ ซึ่งชาเหล่านี้เป็นชาคุณภาพสูงอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย

สรุป: ชาสำหรับมัทฉะแท้ ๆ คือชาจากเทนฉะของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามชื่อมัทฉะยังไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างถูกกฎหมายจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีชาจำนวนมากที่นำเสนอในรูปแบบมัทฉะแม้ว่าจะประกอบด้วยชาประเภทต่าง ๆ หรือเป็นตัวแทนของใบชากลั่นเท่านั้น

คลอโรฟิลล์ในมัทฉะสามารถช่วยเรื่องสุขภาพได้

แน่นอนคุณรู้ว่าคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติจะให้สีเขียวสดจากพืช ซึ่งคลอโรฟิลล์เป็นตัวพาออกซิเจนที่ยอดเยี่ยมและทำให้พืชสามารถดูดซับสารจากอากาศไปสันดาปและให้สภาพอากาศที่จำเป็นบนโลกซึ่งมนุษย์เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

และเนื่องจากในมัทฉะจะใช้ใบชาทั้งหมดมาทำเป็นผงเครื่องดื่ม ซึ่งแตกต่างจากชาธรรมดาที่แช่ในน้ำร้อน จึงส่งผลให้ได้รับคลอโรฟิลล์ในปริมาณสูง ซึ่งทำให้ชามีสีเขียวสด

อย่างไรก็ตามสันนิษฐานไว้ก่อนว่ายิ่งมีคลอโรฟิลล์ในปริมาณสูงในมัทฉะ จะยิ่งเป็นผลดีต่อกระบวนการเมตาบอลึซึมของร่างกาย

คลอโรฟิลล์มี 2 ประเภท ซึ่งการค้นพบนี้ถูกค้นพบโดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อ Richard Willstätter เมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เขาจัดประเภทคลอโรฟิลล์ไว้ 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท A และประเภท D

ลักษณะของคลอโรฟิลล์ประเภท A จะให้สีเขียวอมน้ำเงินในขณะที่คลอโรฟิลล์ประเภท D จะให้สีเหลืองอมเขียว

มัทฉะมีคลอโรฟิลล์ทั้งสองประเภท มีประโยชน์ในการช่วยให้เกิดการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดแดงและช่วยลดโรคโลหิตจาง

ประโยชน์ต่อมาของคลอโรฟิลล์คือช่วยเพิ่มการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และยังช่วยในการขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เซลล์ของร่างกายได้รับเลือดดีขึ้น เป็นผลให้อวัยวะทั้งหมดในร่างกายมนุษย์รวมถึงสมองทำงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้หากมีความผิดปกติในร่างกายมนุษย์ ปริมาณออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นของเซลล์จะช่วยให้สามารถรักษาได้เร็วและดีขึ้น

โดยจะเห็นได้ชัดแม้มีบาดแผลและการบาดเจ็บเล็กน้อย คลอโรฟิลล์จะทำหน้าที่ล้างพิษและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

คลอโรฟิลล์ยังมีผลในเชิงบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของเรา

ตัวอย่างเช่นมันสามารถช่วยลดผลกระทบเชิงลบของรังสีกัมมันตรังสี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินผักสีเขียวเข้มในพืชผักหลากหลายชนิด เช่น ผักโขม, บรอกโคลี ฯลฯ คนที่ดื่มมัทฉะเป็นประจำจะส่งผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน

มัทฉะคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในมัทฉะช่วยให้มั่นใจได้ว่าสารพิษนั้นจะถูกขับออกมาจากร่างกาย นอกจากนี้ยังป้องกันการกลายพันธุ์และการก่อตัวของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุปคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในมัทฉะทำหน้าที่เป็น “น้ำยาทำความสะอาด” สำหรับเลือดของเรา และทำให้มั่นใจได้ว่าออกซิเจนสามารถขนส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกายในปริมาณมาก ซึ่งเป็นผลในเชิงบวกในการกระตุ้นอวัยวะและป้องกันการคุกคามของโรคร้ายแรง

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มมัทฉะอย่างน้อยสามถ้วยต่อวันเพื่อให้ได้คลอโรฟิลล์ที่ทำให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดต่อร่างกาย

คุณภาพของมัทฉะ

นอกเหนือจากที่อธิบายไว้แล้วความแตกต่างอย่างมากระหว่างมัทฉะจีนและญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีมัทฉะบางส่วนจากญี่ปุ่น (จากใบเทนฉะ) บางครั้งมีคุณภาพที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าชาเขียวทุกชนิดเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนแล้วจะเข้าสู่กระบวนการออกซิเดชั่นและทำให้สูญเสียคุณภาพ จึงควรนำผงมัทฉะสดมาแปรรูปให้ได้โดยเร็วที่สุดสำหรับเครื่องดื่มสำเร็จรูปและบริโภค การจัดเก็บที่ถูกต้อง การกำหนดระยะเวลาที่มัทฉะสามารถคงคุณภาพดั้งเดิมได้

อย่างไรก็ตามความแตกต่างของคุณภาพของมัทฉะนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการเพาะปลูกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการเก็บเกี่ยว ตัวอย่างเช่น ที่นี่เวลาเก็บใบชามีความสำคัญมาก แตกต่างจากเก็บเกี่ยวพืชชนิดอื่น ๆ : ยิ่งเก็บชาได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ชาที่มีความเข้มข้นและมีกลิ่นหอมมากขึ้นเท่านั้น ต่อมาใบชาที่ถูกนำมาแปรรูปเป็นมัทฉะจะมีรสขมและให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่ามาก

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าคำว่ามัทฉะยังไม่ได้รับการคุ้มครอง ทำให้สามารถนำชื่อมาใช้สำหรับชาเขียวอื่นๆได้ ซึ่งหมายความว่าชาราคาที่ถูกกว่า ก็อาจเรียกว่ามัทฉะ แต่ในแง่ของคุณภาพและรสชาติไม่สามารถแข่งขันกับมัทฉะที่แท้จริงได้

เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ญี่ปุ่นได้เริ่มจัดประเภทมัทฉะในระดับคุณภาพที่แตกต่างกัน

โดยเราขอแนะนำให้คุณรู้จักกับชาประเภทต่างๆ ดังนี้:

1.เกรดพิธีการ

ในบรรดามัทฉะญี่ปุ่นทั้งหมด หนึ่งในชาที่มีชื่อว่า “ชาเกรดพิธีการ” เป็นที่รู้จักกันในด้านคุณภาพที่ดีที่สุด มันได้ชื่อนี้เนื่องจากชาเกรดพิธีการจะถูกใช้สำหรับพิธีชงชาที่มีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน และมักจะใช้เวลานานหลายชั่วโมงในพิธีชงชาในญี่ปุ่น ในเรื่องนี้ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาก ชาต้องเป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพสูงสุดเพื่อที่จะใช้สำหรับพิธีแบบดั้งเดิมนี้

ส่วนหนึ่งของพิธีในญี่ปุ่น มัทฉะจัดทำขึ้นตามวิธีที่เรียกว่า Koicha โดยใช้ผงมัทฉะจำนวนมากกับน้ำที่ค่อนข้างน้อยทำให้ได้ชาที่หนาและมีความหนืดสูง

เพื่อให้แน่ใจว่ามีรสชาติที่ดีจึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์เริ่มต้นคุณภาพสูงซึ่งมีความขมน้อยและมีรสชาติที่ดีมาก

ในการซื้อขายมัทฉะที่เป็นที่รู้จัก เรียกว่า Super Premium, Gold, Platinum หรือระดับการแข่งขัน ซึ่งจะมีสีเขียวสดใหม่และมีรสชาติที่ดี

2.เกรดพรีเมี่ยม

ในญี่ปุ่นมัทฉะมีชื่อเพิ่มเติมว่า “เกรดพรีเมี่ยม” มักจะใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นหมายถึง: มันเป็นมัทฉะที่ดีมาก แต่ราคาถูกพอที่จะดื่มได้ทุกวัน ซึ่งรสชาติชานั้นจะอ่อนกว่าชาในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมมาก

3.เกรดผสม

มัทฉะที่มีชื่อเพิ่มเติมว่า “เกรดผสม” นั้นมีคุณภาพแย่กว่ามัทฉะเกรดพรีเมี่ยมเล็กน้อยและแย่กว่ามัทฉะเกรดทั่วไป

ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ในญี่ปุ่นเพื่อดื่มทุกวัน แต่ใช้ในการประกอบอาหารต่าง ๆ เป็นสารเติมแต่ง ตัวอย่างเช่นใช้ทำช็อกโกแลตมัทฉะ, ไอศกรีมมัทฉะ หรือผสมผงมัทฉะสำหรับเครื่องดื่ม คุณภาพของมัทฉะนี้จะมีรสเปรี้ยวขมและมีกลิ่นหอมน้อยกว่า

มัทฉะ – ประวัติผลกระทบ สุขภาพ

เรื่องราวของมัทฉะ

ชามีต้นกำเนิดในประเทศจีนซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นพืชสมุนไพรกว่า 5,000 ปีมาแล้ว

วิธีพิเศษในการเตรียมมัทฉะนั้นอาจย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 6 ในประเทศจีน

ตามธรรมเนียมในการแพทย์แผนจีน ใบชาสดจะถูกนำมาทำให้แห้งแล้วบดเป็นผงละเอียดและนำมาใช้เป็นยา

พระ Esai ที่อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 12 นำเข้ามาในคริสต์ศักราช 1191 กับพุทธศาสนานิกายเซน ทั้งเมล็ดชาและความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูก การผลิตและการเตรียมชาแบบญี่ปุ่น

“ชามีความสามารถพิเศษในการยืดอายุ เมื่อใดก็ตามที่เขาเติบโตขึ้นชีวิตที่ยืนยาวก็จะตามมา “Esai กล่าว

ตั้งแต่นั้นมาการดื่มชาผงก็แพร่กระจายออกไป

ในขณะที่มัทฉะเกือบจะถูกลืมในประเทศจีนตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมามันได้รับความเคารพและปลูกฝังมากขึ้นในญี่ปุ่น

ในที่สุดนายชาโนะริกิวผู้ชำนาญการด้านชาญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ได้พัฒนาพิธีชงชาญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 16 ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการฝึกฝนในญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้และได้ทำในอารามเซน

วันนี้มัทฉะได้กลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่น และตอนนี้ได้รับความนิยมไปในทุกเพศทุกวัย

ในประเทศญี่ปุ่นเราสามารถนำมัทฉะมาทำเมนูต่างๆได้หลากหลาย เช่น ทำเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือขนมหวาน และในปัจจุบันมัทฉะได้รับความสนใจจากประเทศอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

การเพาะปลูกชาเขียว (Tencha)

ชาเขียวที่ใช้สำหรับมัทฉะ (Tencha) จะเลือกจากต้นชาที่ต้องมีการมุงหลังคาบังแดดก่อน โดยเริ่มบังแดดให้ต้นชาสี่สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว เทคนิคการใช้หลังคาบังแดดก่อนการเก็บเกี่ยวช่วยลดแสงอาทิตย์ที่มาถึงใบชาประมาณ 90%

ชาสามารถเจริญเติบโตได้ในที่มืด และยังทำให้ผลิตคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบชาจะถูกเสริมด้วยกระบวนการของกรดอะมิโนโดยเฉพาะ L-theanine อีกทั้งยังช่วยให้มัทฉะมีรสชาติที่ดี และมีรสหวาน

การเก็บเกี่ยวยังคงเก็บด้วยมือจนถึงทุกวันนี้

เพื่อให้ผงมัทฉะประมาณ 30 กรัมโรงโม่หินแกรนิตแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

ส่วนผสมมัทฉะ

ประโยชน์ของมัทฉะ

มัทฉะมีความเข้มข้นสูงสุดของ theanine ในชา

Theanine ทำงานในลักษณะที่คล้ายกับคาเฟอีนแต่จะมีการเพิ่มพลังงานอย่างช้าๆและเพิ่มเป็นเวลานานทำให้รู้สึกตื่นตัว และรู้สึกสงบผ่อนคลายในเวลาเดียวกันมัทฉะ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก มัทฉะจึงต่อต้านการเกิดริ้วรอยของเซลล์ในร่างกายและสนับสนุนการป้องกันระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยเรื่องการเผาผลาญและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอล

มีการศึกษาจำนวนมากอ้างว่ามัทฉะมีผลในการป้องกันมะเร็งด้วย

ในชาทั่วไปที่เราดื่มจะมีเพียง 10-20% เท่านั้นที่ละลายในน้ำ เนื่องจากเป็นใบชา แต่มัทฉะนั้นถูกบดให้เป็นผงละเอียดทั้งหมด ดังนั้นเมื่อดื่มมัทฉะ เราจึงได้ประโยชน์ทั้งหมดด้วย

มัทฉะมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น คาเทชิน (catechins) ซึ่งมีมากกว่าชาเขียวธรรมดาถึง 137 เท่า คาเทชินช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกายและช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งและโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย

ความสามารถในการดูดซับ Oxygen Radical Absorbance Capacity (ORAC) เป็นคะแนนที่ได้จากการทดลองหาค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระในเครื่องดื่มและอาหาร  ซึ่งพบว่าในมัทฉะมีมากถึง 1,153 หน่วย ซึ่งถือว่ามีปริมาณสูงในผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ

หากคุณอ่านบทความพิเศษหรือศึกษางานวิจัยหลายภาษาบนอินเทอร์เน็ตทั่วโลก จะพบว่าชาเขียวนั้นเกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็ง ซึ่งเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด แต่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากเช่นเดียวกัน

การค้นหาคำหลักใน “Bible of Classical Medicine” ซึ่งเป็นหอสมุดแห่งชาติการแพทย์ให้ผลการศึกษามากกว่า 1,650 รายการที่ตีพิมพ์และมีบทความทางวิทยาศาสตร์ในหัวข้อนี้

มัทฉะให้ผลเชิงบอกในการป้องกันและรักษาในมะเร็งบางชนิด

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดูแลรักษาการทำงานของร่างกายเรา มัทฉะมีส่วนผสมที่มีประโยชน์ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและสามารถส่งไปยังร่างกายได้ง่ายมาก เพียงแค่ดื่ม คุณก็ได้ประโยชน์ นั่นเป็นเหตุผลที่คุณควรเลือกมัทฉะให้อยู่ในรายการอาหารประจำวันของคุณ โดยไม่จำเป็นว่าต้องกินในปริมาณมาก เพียงแต่ให้กินอย่างต่อเนื่อง เหมือนการที่เราแปรงฟันในแต่ละวัน

มีบทความทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาเขียวกับมะเร็ง

ย้อนกลับไปในปีคริสต์ศักราช 2004 นักวิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่นค้นพบว่า EGCG (Epigallocatechin gallate) ซึ่งมีสูงในชาเขียว มีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งด้วย การศึกษายังแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับชาเขียว และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก

นอกเหนือจาก “สารมหัศจรรย์” EGCG แล้วฟลาโวนอยด์ในชาเขียวยังให้ฤทธิ์ต้านมะเร็งซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้ว

คุณสมบัติคล้ายกับ EGCG โดยสารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้มีผลต่อการส่งสัญญาณต่าง ๆ บนเซลล์และช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก

ปริมาณการศึกษาที่ตีพิมพ์ไปทั่วโลกบ่งชี้ว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากส่วนผสมในชาเขียวและมัทฉะเป็นที่น่าสนใจนั้นเกี่ยวข้องกับมะเร็งหลายชนิด

มัทฉะเติมพลัง

มัทฉะที่ดีต่อสุขภาพนั้น มีวิธีการดื่มคือ ให้ราดด้วยน้ำเล็กน้อยแล้วทุบด้วยแปรงไม้ไผ่ ซึ่งแตกต่างจากการดื่มชาดั้งเดิม

มัทฉะทำมาจากเนื้อเยื่อใบละเอียดและทำหลังคาบังแดดเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว

พระภิกษุจะดื่มมัทฉะก่อนการนั่งสมาธิ เนื่องจากทำให้รู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ และสามารถนั่งสมาธิได้เป็นเวลานาน

 มัทฉะถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมในประเทศต้นกำเนิดญี่ปุ่น และมีเพียงส่วนน้อยของการผลิตเท่านั้นที่ค้นพบในยุโรป

มีเกษตรกรชาเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่มีความรู้ที่ซับซ้อนในการทำชานี้เพราะในชาผงมัทฉะเป็นมากกว่าเครื่องดื่มร้อนทั่วไป ชาคุณภาพสูงนี้จะถูกบดในโรงสีหิน ขนาดอนุภาคของผงชาเขียวที่ผลิตนั้นดีกว่าการสัมผัสด้วยมือหรือลิ้น

ยิ่งชาคุณภาพสูง สีจะยิ่งเข้ม และมีรสชาติที่ดีกว่าขนาดกลางและขนาดต่ำอย่างแน่นอน

สำหรับคนที่มีความไวต่อคาเฟอีน ควรดื่มปริมาณน้อยหรือไม่ควรดื่มหลังจากช่วงบ่าย

คาเฟอีนนั้นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำเล็กน้อยและมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง

ปริมาณคาเฟอีนในมัทฉะมากกว่าในชาเขียวทั่วไป 7 เท่า

มัทฉะช่วยปรับความสมดุลทางร่างกายและช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

การเตรียมมัทฉะ

ในการเตรียมมัทฉะจะต้องใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมมากมาย ได้แก่ ชามมัทฉะขนาดใหญ่ปริมาตรประมาณ 350 มล. แปรงมัทฉะที่ทำจากไม้ไผ่ (Chasen) และไม้พายขนาดเล็ก (Chashaku) ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่เช่นเดียวกัน

แปรงมัทฉะ (Chasen) จะประกอบด้วยขนแปรงละเอียด 100 อัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชอบ เราอาจเลือกขนแปรงละเอียด 80 อันหรือ 120 อันก็ได้

หลายคนคิดว่ายิ่งมัทฉะมีคุณภาพดี จะต้องมีฟองมาก แต่นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะคุณภาพของมัทฉะที่สูงขึ้นจะต้องยิ่งมีฟองน้อย ตามโรงเรียนสอนชงชาญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจะมีฟองที่ลอยอยู่กลางชามซึ่งจะมีพื้นที่ประมาณ 3 ซม. x 3 ซม.

ดังนั้นจึงมีการใช้แปรงมัทฉะ (Chasen)ในการปัดผงมัทฉะสีเขียวละเอียดเพื่อไม่ให้เป็นฟองชาเหมือนนม

การเตรียมมัทฉะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

Usucha (ชงแบบบาง) ซึ่งสามารถชงดื่มได้ทุกวัน และ Koicha (ชงแบบหนา) ซึ่งจะใช้ในพิธีชงชา

การเตรียมมัทฉะแบบดั้งเดิม

การเตรียมมัทฉะแบบดั้งเดิม ทั้งสองแบบนี้ยังไม่แตกต่างกันมาก เนื่องจากนักดื่มมัทฉะของตะวันตก จะไม่มีพิธีรีตองมากนัก จึงไม่สำคัญว่าคุณจะเตรียม Usucha หรือ Koicha เพราะสิ่งที่ต่างกันคือปริมาณชา และปริมาณน้ำเท่านั้น

สำหรับการเตรียม Usucha ให้ใช้มัทฉะ 1.5-2 กรัมต่อน้ำ 60 มิลลิลิตร และสำหรับการเตรียม Koicha ให้ใช้มัทฉะ 2 – 4 กรัมต่อน้ำประมาณ 40 มิลลิลิตร

ขั้นแรกอุ่นภาชนะของคุณ

สิ่งนี้สำคัญมากเพราะน้ำชาของคุณจะเย็นลงประมาณ 10 ° C ทุกครั้งที่คุณเทลงในภาชนะอื่น และเพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็น ทำให้เกิดการสูญเสียรสชาติไปด้วย คุณควรอุ่นถ้วยชาและกาน้ำชาก่อนที่จะเตรียม จากนั้นเติมน้ำประมาณ 5-15 มิลลิลิตร และปริมาณมัทฉะที่คุณต้องการ

ตอนนี้น้ำและมัทฉะจะผสมกันเป็นก้อน ให้ตักน้ำที่เหลือซึ่งควรจะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 85 ° C และ 95 ° C ลงในชามของคุณด้วยกระบวยไม้ไผ่ (Hishaku ) และใช้แปรงมัทฉะ(Chasen) ค่อยๆปัด เทคนิคในการปัดเพื่อให้เกิดฟองน้อยที่สุด ควรปัดเป็นรูปตัวเอ็ม (McDonald’s M) ได้เช่นกัน

Unsere Website verwendet Cookies und sammelt dadurch Informationen über Ihren Besuch, um unsere Website zu verbessern (durch Analyse), Ihnen Social-Media-Inhalte und relevante Werbung zu zeigen. Bitte sehen Sie unsere Datenschutzerklärung für weitere Details oder stimmen Sie zu, indem Sie auf die Schaltfläche "Akzeptieren" klicken.

Cookie settings

Below you can choose which kind of cookies you allow on this website. Click on the "Save cookie settings" button to apply your choice.

FunctionalUnsere Website verwendet funktionale Cookies. Diese Cookies sind notwendig, damit unsere Website funktioniert.

AnalyticalUnsere Website verwendet analytische Cookies, die es ermöglichen, unsere Website zu analysieren und zu optimieren, u.a. im Hinblick auf die Benutzerfreundlichkeit.

Social mediaUnsere Website setzt Cookies für soziale Medien, um Ihnen Inhalte von Drittanbietern wie YouTube und FaceBook zu zeigen. Diese Cookies können Ihre persönlichen Daten verfolgen.

AdvertisingUnsere Website platziert Werbe-Cookies, um Ihnen auf der Grundlage Ihrer Interessen Werbung von Dritten zu zeigen. Diese Cookies können Ihre persönlichen Daten verfolgen.

OtherUnsere Website platziert Cookies von Drittanbietern, die nicht zu Analysezwecken, für soziale Medien oder Werbung verwendet werden.